หลายๆ คนอาจจะมองว่าข้อมูลที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว เบสิคพื้นฐานมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าก็ยังมีอีกหลายคนเลยที่หลงลืมเรื่องง่ายๆ เหล่านี้ไป ดังนั้น เรามาทวนความรู้กันอีกรอบดีกว่า กับการไปทำความรู้จักกับประเภทของประกันภัยรถยนต์กัน ว่าประกันภัยรถยนต์นั้นมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทนั้นมีความคุ้มครองที่เหมือนหรือต่างกันที่ตรงไหน ว่าแล้วก็อย่ามัวเสียเวลา เราไปหาคำตอบกันเลยดีกว่าว่าประกันภัยรถยนต์นั้นมีกี่ประเภท ?

ทำความรู้จักกับประเภทของประกันภัยรถยนต์

  • ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ให้การคุ้มครองมากที่สุด รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของเรา และที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ชีวิตและร่างกายของคู่กรณี หากเราเป็นฝ่ายผิด รวมถึงกรณีรถยนต์ของเราสูญหาย หรือไฟไหม้
  • ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะสำหรับรถคันใหม่ หรือมือใหม่หัดขับ พอมีเงินจ่ายค่าเบี้ย เลือกประกัยภัยรถยนต์ชั้น 1 ไว้ก็อุ่นใจทุกกรณี
  • ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 รับผิดชอบเกือบทุกอย่างเหมือนประเภทที่ 1 รวมกรณีรถยนต์ของเราสูญหายหรือไฟไหม้ เพียงแต่ไม่รวมความเสียหายกับรถยนต์ของเรา คือรถเราต้องจ่ายเอง
  • ประกันรถยนต์ประเภท 2 และ ประกันรถยนต์ 2+ เหมาะสำหรับคนขับรถช่ำชองแล้ว มั่นใจการขับรถตัวเองว่ารอบคอบ ปลอดภัยพอสมควร หรือใช้รถไม่บ่อย การเลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
  • ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2+ รับผิดชอบทุกอย่างเหมือนประเภทที่ 2 บวกรับผิดชอบกับรถยนต์ของเรากรณีชนกับยานพาหนะทางบก (ชนกับอย่างอื่นไม่ได้) สนใจประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2+ คลิก
  • ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 รับผิดชอบเฉพาะของคู่กรณี ในกรณีเราเป็นฝ่ายผิด แต่ไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถยนต์เรา
  • ประกันรถยนต์ประเภท 3 และ ประกันชั้น 3 เหมาะสำหรับรถเก่าอายุหลายปี หรือนานๆ ใช้รถสักครั้ง ดูรายละเอียด ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ได้ที่นี่
  • ประกันภัยรถยนต์ 3+ รับผิดชอบเหมือนประเภท 3 บวกรับผิดชอบรถยนต์ของเรากรณีชนกับยานพาหนะทางบก ดูรายละเอียด ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ ได้ที่นี่
  • ประกันภัยรถยนต์ประเภท 4 รับผิดชอบเฉพาะทรัพย์สินของคู่กรณี ดูรายละเอียด ประกันภัยรถยนต์ชั้น 4 ได้ที่นี่

อย่างที่ทราบกันดีว่ารายละเอียดการคุ้มครองในแต่ละประเภทก็อาจแตกต่างกันไประหว่างบริษัทประกันภัยต่างๆ ฉะนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละบริษัทเพื่อความชัวร์ เพื่อให้คุณไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง ซึ่งการเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละบริษัทจะมีข้อดีตรงที่เราสามารถดูได้เลยว่าบริษัทไหนให้ความคุ้มครองที่มากกว่า ที่สำคัญการเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละบริษัทยังช่วยในเรื่องของการเปรียบเทียบเบี้ยประกันอีกด้วย